Direct Speech - Indirect Speech หรือReported Speech
คำพูดที่ออกจากปากคนพูดโดยตรง มีเครื่องหมาย Quotation Marks ( “ ” ) กำกับอยู่เสมอ ยกคำพูดจริง ๆ ของผู้พูดไปเล่าให้ฟังทั้งหมดโดยไม่เปลี่ยนแปลง เรียกว่า Direct Speech
ตัวอย่าง
Metta says, “I am a farmer.”
"I shall go tomorrow."
"I have been there many time."
เราต้องจำไว้ว่า : Quotation Marks ( " " ) ใช้เขียนคร่อมข้อความที่เป็นประโยคคำพูด
ตัวอย่าง
He said, "I am going home." "I can help you move," John volunteered.
Metta says, “I am a farmer.”
"I shall go tomorrow."
"I have been there many time."
เราต้องจำไว้ว่า : Quotation Marks ( " " ) ใช้เขียนคร่อมข้อความที่เป็นประโยคคำพูด
ตัวอย่าง
He said, "I am going home." "I can help you move," John volunteered.
การนำเอาคำพูดของคนอื่นมาเล่าสู่กันฟัง โดยดัดแปลงเป็นคำพูดของผู้เล่าเอง เรียกว่า Indirect Speechหรือ Reported Speech
ตัวอย่าง
He said (that) he should go there.
He asked me where I was going.
Metta says that she is a farmer.
He said (that) he should go there.
He asked me where I was going.
Metta says that she is a farmer.
วิธีพูด 2 แบบ เมื่อเราต้องการจะนำคำพูดของใครไปเล่าให้ผู้อื่นฟัง
1. Direct Speech (ยกคำพูดจริง ๆ ของผู้พูดไปเล่าให้ฟังทั้งหมดโดยไม่เปลี่ยนแปลง)
ประโยค Direct Speech ประกอบด้วย เครื่องหมายComma : จุลภาค(,) เครื่องหมาย Quotation Marks ( “ ” ) อักษรตัวแรกในเครื่องหมายอัญญประกาศต้องเป็นตัวพิมพ์ใหญ่เสมอ และใช้เครื่องหมายจุลภาค(,)วางท้ายประโยคหลัก เพื่อคั่นประโยคที่ตามมา
ตัวอย่าง
Metta says, “I am a farmer.” หรือ “I am a farmer.” , Metta says
2. Indirect Speech หรือ Reported Speech (ดัดแปลงเป็นคำพูดของผู้เล่าเอง)
หลักการเปลี่ยนจาก Direct Speech เป็น Indirect Speech หรือReported Speech ที่แตกต่างกัน มี 3 แบบ คือ
ประโยค Direct Speech ประกอบด้วย เครื่องหมายComma : จุลภาค(,) เครื่องหมาย Quotation Marks ( “ ” ) อักษรตัวแรกในเครื่องหมายอัญญประกาศต้องเป็นตัวพิมพ์ใหญ่เสมอ และใช้เครื่องหมายจุลภาค(,)วางท้ายประโยคหลัก เพื่อคั่นประโยคที่ตามมา
ตัวอย่าง
Metta says, “I am a farmer.” หรือ “I am a farmer.” , Metta says
2. Indirect Speech หรือ Reported Speech (ดัดแปลงเป็นคำพูดของผู้เล่าเอง)
หลักการเปลี่ยนจาก Direct Speech เป็น Indirect Speech หรือReported Speech ที่แตกต่างกัน มี 3 แบบ คือ
1. หลักการเปลี่ยนจาก Direct Speech เป็น Indirect Speech หรือReported Statement (บอกเล่าและปฏิเสธ)
ขั้นตอนการเปลี่ยน
(1) ตัดเครื่องหมาย comma (,) ออก
(2) จะเติม that หลัง Reporting Verbs หรือไม่ก็ได้
(3) ตัดเครื่องหมายคำพูด (Quotation mark) ออก
(4) เปลี่ยนสรรพนามในคำพูดให้เข้ากับผู้พูด
(5) เปลี่ยน Tense ของคำกริยาในคำพูดให้เข้ากับ Reporting Verbs(มีรายละเอียดคำอธิบายให้อ่านตอนท้าย)
ขั้นตอนการเปลี่ยน
(1) ตัดเครื่องหมาย comma (,) ออก
(2) จะเติม that หลัง Reporting Verbs หรือไม่ก็ได้
(3) ตัดเครื่องหมายคำพูด (Quotation mark) ออก
(4) เปลี่ยนสรรพนามในคำพูดให้เข้ากับผู้พูด
(5) เปลี่ยน Tense ของคำกริยาในคำพูดให้เข้ากับ Reporting Verbs(มีรายละเอียดคำอธิบายให้อ่านตอนท้าย)
2. หลักการเปลี่ยนจาก Direct Speech เป็น Indirect Speech หรือ Reported Request and Command (ขอร้องและคำสั่ง)
ขั้นตอนการเปลี่ยน
(1) ใช้กริยานำ คือ tell/told (บอก), order/ordered (สั่ง), ask/asked (ขอร้อง), command/commanded (สั่ง)
(2) ใช้ (not) to เป็นตัวเชื่อม
(3) ถ้า Direct Speech ไม่มีกรรม (object) ให้เติมกรรมลงไปใน Indirect Speech หรือ Reported Speech ด้วย
(4) ถ้ามีคำว่า Please ให้ตัดออก
ขั้นตอนการเปลี่ยน
(1) ใช้กริยานำ คือ tell/told (บอก), order/ordered (สั่ง), ask/asked (ขอร้อง), command/commanded (สั่ง)
(2) ใช้ (not) to เป็นตัวเชื่อม
(3) ถ้า Direct Speech ไม่มีกรรม (object) ให้เติมกรรมลงไปใน Indirect Speech หรือ Reported Speech ด้วย
(4) ถ้ามีคำว่า Please ให้ตัดออก
3. หลักการเปลี่ยนจาก Direct Speech เป็น Indirect หรือ Indirect Speech หรือ Reported Questions (คำถาม)
ขั้นตอนการเปลี่ยน
(1) ประโยคคำถามที่ขึ้นต้นด้วยกริยาช่วย (Yes/No Questions) เมื่อเปลี่ยนเป็น Indirect Speech หรือ Reported Speech ให้
ใช้กริยานำ ใช้ if หรือ whether เป็นตัวเชื่อม มีความหมายว่า "ใช่หรือไม่" (จะใช้คำใดก็ได้) และเรียงคำในประโยคให้อยู่ในรูปของประโยคบอกเล่า
(2) ประโยคคำถามที่ขึ้นต้นด้วย Question words (Wh- Questions) เมื่อเปลี่ยนเป็น Indirect Speech หรือ Reported Speech ให้ ใช้กริยานำ คือ ask/asked (ถามว่า),inquire/inquired (ถามว่า),wonder/wondered (สงสัยว่า, อยากรู้ว่า),want to know/wanted to know (อยากรู้ว่า) ใช้ Question words เป็นตัวเชื่อม และเรียงคำในประโยคให้อยู่ในรูปของประโยคบอกเล่า
ขั้นตอนการเปลี่ยน
(1) ประโยคคำถามที่ขึ้นต้นด้วยกริยาช่วย (Yes/No Questions) เมื่อเปลี่ยนเป็น Indirect Speech หรือ Reported Speech ให้
ใช้กริยานำ ใช้ if หรือ whether เป็นตัวเชื่อม มีความหมายว่า "ใช่หรือไม่" (จะใช้คำใดก็ได้) และเรียงคำในประโยคให้อยู่ในรูปของประโยคบอกเล่า
(2) ประโยคคำถามที่ขึ้นต้นด้วย Question words (Wh- Questions) เมื่อเปลี่ยนเป็น Indirect Speech หรือ Reported Speech ให้ ใช้กริยานำ คือ ask/asked (ถามว่า),inquire/inquired (ถามว่า),wonder/wondered (สงสัยว่า, อยากรู้ว่า),want to know/wanted to know (อยากรู้ว่า) ใช้ Question words เป็นตัวเชื่อม และเรียงคำในประโยคให้อยู่ในรูปของประโยคบอกเล่า
เมื่อจะนำคำพูดของใครไปเล่าให้ผู้อื่นฟัง อาจมีวิธีพูดได้ 2 วิธี คือ
1. โดยยกคำพูดจริง ๆ ของผู้พูดไปเล่าให้ฟังทั้งหมดโดยไม่เปลี่ยนแปลง เรียกว่า Direct Speech เช่น
John said, "I like Mathematics."
ข้อความว่า "I like Mathematics" เป็น Direct Speech
2. โดยดัดแปลงเป็นคำพูดของผู้เล่าเอง เรียกว่า Indirect Speech หรือ Reported Speech เช่น
John said (that) he liked Mathematics.
ข้อความว่า "he liked Mathematics" ดัดแปลงมาจากคำพูดของ John ที่พูดว่า "I like Mathematics"
ดังนั้นข้อความนี้จึงเป็น Indirect Speech หรือ Reported Speech
1. โดยยกคำพูดจริง ๆ ของผู้พูดไปเล่าให้ฟังทั้งหมดโดยไม่เปลี่ยนแปลง เรียกว่า Direct Speech เช่น
John said, "I like Mathematics."
ข้อความว่า "I like Mathematics" เป็น Direct Speech
2. โดยดัดแปลงเป็นคำพูดของผู้เล่าเอง เรียกว่า Indirect Speech หรือ Reported Speech เช่น
John said (that) he liked Mathematics.
ข้อความว่า "he liked Mathematics" ดัดแปลงมาจากคำพูดของ John ที่พูดว่า "I like Mathematics"
ดังนั้นข้อความนี้จึงเป็น Indirect Speech หรือ Reported Speech
คำกริยาที่ใช้กับ Indirect Speech หรือ Reported Speech เรียกว่า กริยานำ (Reporting Verbs หรือ Introducing Verbs) เช่น
1. say (said) พูดว่า
2. know (knew) รู้ว่า
3. hope (hoped) หวังว่า
4. think (thought) คิดว่า
1. say (said) พูดว่า
2. know (knew) รู้ว่า
3. hope (hoped) หวังว่า
4. think (thought) คิดว่า
ตัวอย่าง
(1) John said, "I like Mathematics."
(2) John said (that) he liked Mathematics.
คำกริยา said ในประโยค (1) เรียกว่า กริยานำ (Reporting Verb หรือ Introducing Verb)
ข้อความว่า (that) he liked Mathematics ในประโยค (2) เรียกว่า คำเล่า (Indirect Speech หรือ Reported Speech)
(1) John said, "I like Mathematics."
(2) John said (that) he liked Mathematics.
คำกริยา said ในประโยค (1) เรียกว่า กริยานำ (Reporting Verb หรือ Introducing Verb)
ข้อความว่า (that) he liked Mathematics ในประโยค (2) เรียกว่า คำเล่า (Indirect Speech หรือ Reported Speech)
Indirect Speech หรือ Reported Speech มี 3 แบบใหญ่ ๆ คือ
1. Indirect Speech หรือ Reported Statement (บอกเล่าและปฏิเสธ)
2. Indirect Speech หรือ Reported Request and Command (ขอร้องและคำสั่ง)
3. Indirect Speech หรือ Reported Questions (คำถาม)
ซึ่งมีวิธีการเปลี่ยนจาก Direct Speech เป็น Indirect Speech หรือ Reported Speech ที่แตกต่างกันดังนี้
1. Indirect Speech หรือ Reported Statement (บอกเล่าและปฏิเสธ)
2. Indirect Speech หรือ Reported Request and Command (ขอร้องและคำสั่ง)
3. Indirect Speech หรือ Reported Questions (คำถาม)
ซึ่งมีวิธีการเปลี่ยนจาก Direct Speech เป็น Indirect Speech หรือ Reported Speech ที่แตกต่างกันดังนี้
1. Indirect Speech แบบ Indirect Statement
มีวิธีการเปลี่ยนจาก Direct Speech เป็น Indirect Speech หรือ Reported Speech ดังนี้
(1) ตัดเครื่องหมาย comma (,) ออก
(2) จะเติม that หลัง Reporting Verbs หรือไม่ก็ได้
(3) ตัดเครื่องหมายคำพูด (Quotation mark) ออก
(4) เปลี่ยนสรรพนามในคำพูดให้เข้ากับผู้พูด
มีวิธีการเปลี่ยนจาก Direct Speech เป็น Indirect Speech หรือ Reported Speech ดังนี้
(1) ตัดเครื่องหมาย comma (,) ออก
(2) จะเติม that หลัง Reporting Verbs หรือไม่ก็ได้
(3) ตัดเครื่องหมายคำพูด (Quotation mark) ออก
(4) เปลี่ยนสรรพนามในคำพูดให้เข้ากับผู้พูด
(5) เปลี่ยน Tense ของคำกริยาในคำพูดให้เข้ากับ Reporting Verbs ซึ่งมี 2 แบบใหญ่ ๆ ดังนี้
5.1 ถ้ากริยานำเป็นปัจจุบัน (Present) ไม่ต้องเปลี่ยนแปลง Tense ใน Indirect Speech เช่น
Direct Speech : John says, "I like Mathematics."
Indirect Speech : John says (that) he likes Mathematics.
(like และ likes เป็นคำกริยาช่องที่ 1 Present Simple Tense ทั้งคู่)
Direct Speech: He say, "I am reading a book."
Indirect Speech: He say that he is reading a book.
Direct Speech: She say to me, "I have been there twice."
Indirect Speech: She tells me that she has been there twice.
ข้อสังเกต เมื่อเปลี่ยนเป็น Indirect แล้ว สรรพนามต้องเปลี่ยนไปตามประธาน
5.1 ถ้ากริยานำเป็นปัจจุบัน (Present) ไม่ต้องเปลี่ยนแปลง Tense ใน Indirect Speech เช่น
Direct Speech : John says, "I like Mathematics."
Indirect Speech : John says (that) he likes Mathematics.
(like และ likes เป็นคำกริยาช่องที่ 1 Present Simple Tense ทั้งคู่)
Direct Speech: He say, "I am reading a book."
Indirect Speech: He say that he is reading a book.
Direct Speech: She say to me, "I have been there twice."
Indirect Speech: She tells me that she has been there twice.
ข้อสังเกต เมื่อเปลี่ยนเป็น Indirect แล้ว สรรพนามต้องเปลี่ยนไปตามประธาน
5.2 ถ้ากริยานำเป็นอดีต (Past) ต้องเปลี่ยนแปลง Tense ใน Indirect Speech ดังนี้
1) Present Simple Tense เปลี่ยนเป็น Past Simple Tense
1) Present Simple Tense เปลี่ยนเป็น Past Simple Tense
ตัวอย่าง
Direct Speech : He said, "I want to swim."
Indirect Speech: He said that he wanted to swim.
Direct Speech : John said, "I like Mathematics."
Indirect Speech : John said (that) he liked Mathematics.
Direct Speech : He said, "I want to swim."
Indirect Speech: He said that he wanted to swim.
Direct Speech : John said, "I like Mathematics."
Indirect Speech : John said (that) he liked Mathematics.
2) Present Continuous Tense เปลี่ยนเป็น Past Continuous Tense เช่น
Direct Speech : Jenny said, "I am not going to Bangkok."
Indirect Speech : Jenny said (that) she was not going to Bangkok.
Direct Speech : Jenny said, "I am not going to Bangkok."
Indirect Speech : Jenny said (that) she was not going to Bangkok.
Direct Speech: He said, "I am swimming in the canal."
Indirect Speech: He said that he was swimming in the canal.
Indirect Speech: He said that he was swimming in the canal.
3) Present Perfect Tense เปลี่ยนเป็น Past Perfect Tense เช่น
Direct Speech : Tom said, "I have finished my work."
Indirect Speech : Tom said (that) he had finished his work.
Direct : He said, "I have swum in the river for two hours."
Indirect : He said that he had swum in the river for two hours.
Direct Speech : Tom said, "I have finished my work."
Indirect Speech : Tom said (that) he had finished his work.
Direct : He said, "I have swum in the river for two hours."
Indirect : He said that he had swum in the river for two hours.
4) Past Simple Tense เปลี่ยนเป็น Past Perfect Tense เช่น
Direct Speech : Malee said, "I went to Bangkok."
Indirect Speech : Malee said (that) she had gone to Bangkok.
Direct : He said, "I swum I the river."
Indirect : He said that he had swum in the river.
Direct Speech : Malee said, "I went to Bangkok."
Indirect Speech : Malee said (that) she had gone to Bangkok.
Direct : He said, "I swum I the river."
Indirect : He said that he had swum in the river.
5) will เปลี่ยนเป็น would เช่น
Direct Speech : John and Tom said, "We will go to Bangkok."
Indirect Speech : John and Tom said (that) they would go to Bangkok.
6) shall เปลี่ยนเป็น should เช่น
Direct Speech : They said, "We shall go to Bangkok."
Indirect Speech : They said (that) they should go to Bangkok.
Direct Speech: He said, "I shall go there."
Indirect Speech: He said that he should go there.
Direct Speech : John and Tom said, "We will go to Bangkok."
Indirect Speech : John and Tom said (that) they would go to Bangkok.
6) shall เปลี่ยนเป็น should เช่น
Direct Speech : They said, "We shall go to Bangkok."
Indirect Speech : They said (that) they should go to Bangkok.
Direct Speech: He said, "I shall go there."
Indirect Speech: He said that he should go there.
7) can เปลี่ยนเป็น could เช่น
Direct Speech : Jim said, "I can't speak Thai."
Indirect Speech : Jim said (that) he couldn't speak Thai.
Direct Speech : Jim said, "I can't speak Thai."
Indirect Speech : Jim said (that) he couldn't speak Thai.
8) may เปลี่ยนเป็น might เช่น
Direct Speech : Peter said, "I may not go to Bangkok."
Indirect Speech : Peter said (that) he might not go to Bangkok.
Direct Speech: He said, "I may be a bit late."
Indirect Speech: He said that he might be a bit late.
Direct Speech : Peter said, "I may not go to Bangkok."
Indirect Speech : Peter said (that) he might not go to Bangkok.
Direct Speech: He said, "I may be a bit late."
Indirect Speech: He said that he might be a bit late.
9) must เปลี่ยนเป็น had to ตัวอย่าง
Direct Speech : My mother said, "I must go to Bangkok."
Indirect Speech : My mother said (that) she had to go to Bangkok.
Indirect Speech : My mother said (that) she had to go to Bangkok.
ข้อที่ต้องจำเพิ่มเติม
1. ถ้าใน Direct Speech มีคำหรือข้อความที่เป็นเวลาให้เปลี่ยนดังนี้
Direct Speech -> Indirect Speech
now -> then
today -> that day
yesterday -> the day before / the previous day
tonight -> that night
tomorrow -> the next day / the following day
next (week) -> the following (week)
ago -> before
last (week) -> the previous (week)
the day before yesterday -> earlier / two days before
the day after tomorrow -> later in two day's time / two days after
a year ago -> a year before / the previous year
2. ถ้าใน Direct Speech มีคำหรือข้อความที่แสดงความใกล้-ไกลให้เปลี่ยนดังนี้
Direct Speech -> Indirect Speech
here -> there
this -> that
these -> those
Direct Speech: He said, "This the house where she lives."
Indirect Speech: He said that was the house where she lived.
Direct Speech: "I can go with her tomorrow", he said
Indirect Speech: He said that he could go with her the next day.
1. ถ้าใน Direct Speech มีคำหรือข้อความที่เป็นเวลาให้เปลี่ยนดังนี้
Direct Speech -> Indirect Speech
now -> then
today -> that day
yesterday -> the day before / the previous day
tonight -> that night
tomorrow -> the next day / the following day
next (week) -> the following (week)
ago -> before
last (week) -> the previous (week)
the day before yesterday -> earlier / two days before
the day after tomorrow -> later in two day's time / two days after
a year ago -> a year before / the previous year
2. ถ้าใน Direct Speech มีคำหรือข้อความที่แสดงความใกล้-ไกลให้เปลี่ยนดังนี้
Direct Speech -> Indirect Speech
here -> there
this -> that
these -> those
Direct Speech: He said, "This the house where she lives."
Indirect Speech: He said that was the house where she lived.
Direct Speech: "I can go with her tomorrow", he said
Indirect Speech: He said that he could go with her the next day.
2. Indirect Speech แบบ Indirect Request and Command
การเปลี่ยนประโยคขอร้อง ขออนุญาต หรือคำสั่ง (Request or Command) เป็น Indirect Speech มีวิธีการเปลี่ยน Tense คำหรือข้อความบอกเวลา และคำหรือข้อความที่บ่งบอกความใกล้-ไกล เหมือนกับ Indirect Statement แต่มีที่แตกต่างกัน คือ
(1) ใช้กริยานำ คือ tell/told (บอก), order/ordered (สั่ง), ask/asked (ขอร้อง), command/commanded (สั่ง)
(2) ใช้ (not) to เป็นตัวเชื่อม
(3) ถ้า Direct Speech ไม่มีกรรม (object) ให้เติมกรรมลงไปใน Indirect Speech ด้วย
(4) ถ้ามีคำว่า Please ให้ตัดออก
การเปลี่ยนประโยคขอร้อง ขออนุญาต หรือคำสั่ง (Request or Command) เป็น Indirect Speech มีวิธีการเปลี่ยน Tense คำหรือข้อความบอกเวลา และคำหรือข้อความที่บ่งบอกความใกล้-ไกล เหมือนกับ Indirect Statement แต่มีที่แตกต่างกัน คือ
(1) ใช้กริยานำ คือ tell/told (บอก), order/ordered (สั่ง), ask/asked (ขอร้อง), command/commanded (สั่ง)
(2) ใช้ (not) to เป็นตัวเชื่อม
(3) ถ้า Direct Speech ไม่มีกรรม (object) ให้เติมกรรมลงไปใน Indirect Speech ด้วย
(4) ถ้ามีคำว่า Please ให้ตัดออก
ตัวอย่าง
Direct Speech : He said, "Please don't make aloud noise."
Indirect Speech : He told him not to make aloud noise.
(1) เปลี่ยนกริยานำจาก said เป็น told
(2) ใช้ not to เป็นตัวเชื่อมเพราะ Direct Speech เป็นปฏิเสธ (don't)
(3) เติมกรรม (him) เพราะ Direct Speech ไม่มีกรรม
(4) ตัดคำว่า Please ออก
Direct Speech : She told us, "Come to the party tomorrow."
Indirect Speech : She told us to come to the party the following day.
(1) ใช้กริยานำว่า told เพราะ Direct Speech ใช้ told
(2) ใช้ to เป็นตัวเชื่อมเพราะ Direct Speech เป็นบอกเล่า (Come)
(3) ใช้คำว่า us เป็นกรรมเพราะ us เป็นกรรมของกริยา told อยู่แล้ว
(4) เปลี่ยน tomorrow เป็น the following day
Direct Speech : He said, "Please don't make aloud noise."
Indirect Speech : He told him not to make aloud noise.
(1) เปลี่ยนกริยานำจาก said เป็น told
(2) ใช้ not to เป็นตัวเชื่อมเพราะ Direct Speech เป็นปฏิเสธ (don't)
(3) เติมกรรม (him) เพราะ Direct Speech ไม่มีกรรม
(4) ตัดคำว่า Please ออก
Direct Speech : She told us, "Come to the party tomorrow."
Indirect Speech : She told us to come to the party the following day.
(1) ใช้กริยานำว่า told เพราะ Direct Speech ใช้ told
(2) ใช้ to เป็นตัวเชื่อมเพราะ Direct Speech เป็นบอกเล่า (Come)
(3) ใช้คำว่า us เป็นกรรมเพราะ us เป็นกรรมของกริยา told อยู่แล้ว
(4) เปลี่ยน tomorrow เป็น the following day
Direct Speech : She asked her father, "Let me go to Chiangrai with Ludda."
Indirect Speech : She asked her father to let her go to Chiangrai with Ludda.
(1) ใช้กริยานำว่า asked เพราะ Direct Speech ใช้ asked
(2) ใช้ to เป็นตัวเชื่อมเพราะ Direct Speech เป็นบอกเล่า (Let)
(3) เปลี่ยนกรรมจากคำว่า me เป็น her เพราะเป็นคำพูดของผู้หญิง (She)
Indirect Speech : She asked her father to let her go to Chiangrai with Ludda.
(1) ใช้กริยานำว่า asked เพราะ Direct Speech ใช้ asked
(2) ใช้ to เป็นตัวเชื่อมเพราะ Direct Speech เป็นบอกเล่า (Let)
(3) เปลี่ยนกรรมจากคำว่า me เป็น her เพราะเป็นคำพูดของผู้หญิง (She)
Direct Speech: I said to my mother, "Please give me five baht."
Indirect Speech: I begged my mother to give me five baht.
Indirect Speech: I begged my mother to give me five baht.
Direct Speech: The master said to the servant, "Bring me a glass of water."
Indirect Speech: The master told the servant to bring him a glass of water.
Indirect Speech: The master told the servant to bring him a glass of water.
Direct Speech: He said to the soldiers, "Stand still."
Indirect Speech: He commanded the soldiers to stand still.
Indirect Speech: He commanded the soldiers to stand still.
1. ให้เปลี่ยน said, said to ในประโยค Direct เป็น
Commanded ออกคำสั่ง สำหรับนายทหารกับพลทหาร
Ordered สั่ง สำหรับนายกับบ่าว
Told บอก, สั่ง เป็นคำกลางใช้ได้ทั่วไป
Asked แนะนำ สำหรับการขอร้องอย่างสุภาพ
Begged วิงวอน สำหรับประโยคขอร้องที่สุภาพยิ่งขึ้น
Warned สำหรับคำเตือน
2. ใช้คำในข้อ 1 เช่นกัน แล้วตามด้วย Object + to + verb + สำหรับประโยคบอกเล่า
3. เติม to ลงท้ายประโยคคำพูดจริง
4. เปลี่ยนคำ Pronoun ที่เหมาะสม
5. ในกรณีที่เป็นคำสั่งห้าม ที่ขึ้นต้นด้วย Don't ให้ใช้ not to
เป็นคำเชื่อม
Commanded ออกคำสั่ง สำหรับนายทหารกับพลทหาร
Ordered สั่ง สำหรับนายกับบ่าว
Told บอก, สั่ง เป็นคำกลางใช้ได้ทั่วไป
Asked แนะนำ สำหรับการขอร้องอย่างสุภาพ
Begged วิงวอน สำหรับประโยคขอร้องที่สุภาพยิ่งขึ้น
Warned สำหรับคำเตือน
2. ใช้คำในข้อ 1 เช่นกัน แล้วตามด้วย Object + to + verb + สำหรับประโยคบอกเล่า
3. เติม to ลงท้ายประโยคคำพูดจริง
4. เปลี่ยนคำ Pronoun ที่เหมาะสม
5. ในกรณีที่เป็นคำสั่งห้าม ที่ขึ้นต้นด้วย Don't ให้ใช้ not to
เป็นคำเชื่อม
3. Indirect Speech แบบ Indirect Question
การเปลี่ยนประโยคคำถาม (Question) เป็น Indirect Speech มีวิธีการเปลี่ยน Tense คำหรือข้อความบอกเวลา และคำหรือข้อความที่บ่งบอกความใกล้-ไกลเหมือนกับ Indirect Statement แบ่งออกเป็น 2 ประเภทตามลักษณะของคำถาม คือ
(1) ประโยคคำถามที่ขึ้นต้นด้วยกริยาช่วย (Yes/No Questions) เมื่อเปลี่ยนเป็น Indirect Speech หรือ Reported Speech ให้ทำดังนี้
- ใช้กริยานำในประโยคหลัก คือ ask(ถาม)/asked (ถามว่า), inquire/inquired (สอบถาม),wonder/wondered (สงสัยว่า, อยากรู้ว่า),want to know/wanted to know (อยากรู้ว่า)
- ใช้ if หรือ whether เป็นตัวเชื่อม มีความหมายว่า "ใช่หรือไม่" (จะใช้คำใดก็ได้)
- เรียงคำในประโยคให้อยู่ในรูปของประโยคบอกเล่า
การเปลี่ยนประโยคคำถาม (Question) เป็น Indirect Speech มีวิธีการเปลี่ยน Tense คำหรือข้อความบอกเวลา และคำหรือข้อความที่บ่งบอกความใกล้-ไกลเหมือนกับ Indirect Statement แบ่งออกเป็น 2 ประเภทตามลักษณะของคำถาม คือ
(1) ประโยคคำถามที่ขึ้นต้นด้วยกริยาช่วย (Yes/No Questions) เมื่อเปลี่ยนเป็น Indirect Speech หรือ Reported Speech ให้ทำดังนี้
- ใช้กริยานำในประโยคหลัก คือ ask(ถาม)/asked (ถามว่า), inquire/inquired (สอบถาม),wonder/wondered (สงสัยว่า, อยากรู้ว่า),want to know/wanted to know (อยากรู้ว่า)
- ใช้ if หรือ whether เป็นตัวเชื่อม มีความหมายว่า "ใช่หรือไม่" (จะใช้คำใดก็ได้)
- เรียงคำในประโยคให้อยู่ในรูปของประโยคบอกเล่า
ตัวอย่าง
a. Direct Speech : They asked, "Can we leave now?"
Indirect Speech : They asked if they could leave then.
(1) ใช้กริยานำว่า asked เพราะประโยคที่มี Direct Speech มีกริยานำว่า asked อยู่แล้ว
(2) ใช้ if เป็นตัวเชื่อม
(3) เปลี่ยนคำบอกเวลาจากคำว่า now เป็น then
(4) เปลี่ยน we เป็น they เพราะผู้พูดคือ They
(5) เรียงคำที่เปลี่ยนจาก Direct Speech ให้อยู่ในรูปของประโยคบอกเล่า คือ ประธาน + กริยา + ….……
(จากเดิม Can we …..…. เป็น They could ………)
a. Direct Speech : They asked, "Can we leave now?"
Indirect Speech : They asked if they could leave then.
(1) ใช้กริยานำว่า asked เพราะประโยคที่มี Direct Speech มีกริยานำว่า asked อยู่แล้ว
(2) ใช้ if เป็นตัวเชื่อม
(3) เปลี่ยนคำบอกเวลาจากคำว่า now เป็น then
(4) เปลี่ยน we เป็น they เพราะผู้พูดคือ They
(5) เรียงคำที่เปลี่ยนจาก Direct Speech ให้อยู่ในรูปของประโยคบอกเล่า คือ ประธาน + กริยา + ….……
(จากเดิม Can we …..…. เป็น They could ………)
b. Direct Speech : She said to me, "Does Jim like Thai food?"
Indirect Speech : She asked me whether Jim liked Thai food.
(1) เปลี่ยนกริยานำจาก said เป็น asked
(2) ใช้ whether เป็นตัวเชื่อม
(3) เปลี่ยน like จากช่องที่ 1 เป็นช่องที่ 2 คือ liked
(4) เรียงคำที่เปลี่ยนจาก Direct Speech ให้อยู่ในรูปของประโยคบอกเล่า คือ ประธาน + กริยา + ….……
(จากเดิม Does Jim like …..…. เป็น Jim liked ………)
Indirect Speech : She asked me whether Jim liked Thai food.
(1) เปลี่ยนกริยานำจาก said เป็น asked
(2) ใช้ whether เป็นตัวเชื่อม
(3) เปลี่ยน like จากช่องที่ 1 เป็นช่องที่ 2 คือ liked
(4) เรียงคำที่เปลี่ยนจาก Direct Speech ให้อยู่ในรูปของประโยคบอกเล่า คือ ประธาน + กริยา + ….……
(จากเดิม Does Jim like …..…. เป็น Jim liked ………)
2. ประโยคคำถามที่ขึ้นต้นด้วย Question words (Wh- Questions) เมื่อเปลี่ยนเป็น Indirect Speech หรือ Reported Speech ให้ทำดังนี้
- ใช้กริยานำ คือ ask/asked (ถามว่า), inquire/inquired (ถามว่า), wonder/wondered (สงสัยว่า, อยากรู้ว่า),
want to know/wanted to know (อยากรู้ว่า)
- ใช้ Question words เป็นตัวเชื่อม
- เรียงคำในประโยคให้อยู่ในรูปของประโยคบอกเล่า
- ใช้กริยานำ คือ ask/asked (ถามว่า), inquire/inquired (ถามว่า), wonder/wondered (สงสัยว่า, อยากรู้ว่า),
want to know/wanted to know (อยากรู้ว่า)
- ใช้ Question words เป็นตัวเชื่อม
- เรียงคำในประโยคให้อยู่ในรูปของประโยคบอกเล่า
ตัวอย่าง
a. Direct Speech : They asked, "Who can speak English?"
Indirect Speech : They asked who could speak English.
a. Direct Speech : They asked, "Who can speak English?"
Indirect Speech : They asked who could speak English.
(1) ใช้กริยานำว่า asked เพราะประโยคที่มี Direct Speech มีกริยานำว่า asked อยู่แล้ว
(2) ใช้ who เป็นตัวเชื่อม เพราะ who เป็น question word
(3) เปลี่ยน can เป็น could
(4) ข้อความใน Direct Speech เรียงคำอยู่ในรูปของประโยคบอกเล่าอยู่แล้ว คือ ประธาน + กริยา + ……
จึงคัดลอกลงใน Reported Speech ได้เลย
(2) ใช้ who เป็นตัวเชื่อม เพราะ who เป็น question word
(3) เปลี่ยน can เป็น could
(4) ข้อความใน Direct Speech เรียงคำอยู่ในรูปของประโยคบอกเล่าอยู่แล้ว คือ ประธาน + กริยา + ……
จึงคัดลอกลงใน Reported Speech ได้เลย
b.Direct Speech : She said to me, "When will Jim go to Japan?"
Indirect Speech : She asked me when Jim would go to Japan.
Indirect Speech : She asked me when Jim would go to Japan.
(1) เปลี่ยนกริยานำจาก said เป็น asked
(2) ใช้ when เป็นตัวเชื่อม เพราะ when เป็น question word
(3) เปลี่ยน will เป็น would
(4) เรียงคำที่เปลี่ยนจาก Direct Speech ให้อยู่ในรูปของประโยคบอกเล่า คือ ประธาน + กริยา + ….……
(จากเดิม will Jim go …..…. เป็น Jim would go ………)
(2) ใช้ when เป็นตัวเชื่อม เพราะ when เป็น question word
(3) เปลี่ยน will เป็น would
(4) เรียงคำที่เปลี่ยนจาก Direct Speech ให้อยู่ในรูปของประโยคบอกเล่า คือ ประธาน + กริยา + ….……
(จากเดิม will Jim go …..…. เป็น Jim would go ………)
เราต้องจำไว้ว่า การเปลี่ยนประโยคคำถาม (Question) เป็น Indirect Speech
1. แบบที่นำด้วย Question Words
(Who, Whom, What, Which, When, Why, Where, How) ตัวอย่าง
Who are you?
Where do you live?
2. แบบที่นำด้วยกริยาพิเศษ (Special Finites) กริยาช่วย 24 ตัว be(is am are), do, does, has, have, will, would, shall, should, can, could, may, maight, must, need, dare, ought to, used to ตัวอย่าง
Are you reading this story?
Can you do this?
การเปลี่ยนประโยคคำถามที่ขึ้นต้นด้วย Question Words เป็น Indirect Speech
1. เปลี่ยน Said เป็น asked
2. เรียงคำในประโยคหลังคำแสดงคำถามให้เป็นประโยคบอกเล่า
3. การเปลี่ยนแปลง Tense ถือตามหลักที่กล่าวมาของ Statement
1. แบบที่นำด้วย Question Words
(Who, Whom, What, Which, When, Why, Where, How) ตัวอย่าง
Who are you?
Where do you live?
2. แบบที่นำด้วยกริยาพิเศษ (Special Finites) กริยาช่วย 24 ตัว be(is am are), do, does, has, have, will, would, shall, should, can, could, may, maight, must, need, dare, ought to, used to ตัวอย่าง
Are you reading this story?
Can you do this?
การเปลี่ยนประโยคคำถามที่ขึ้นต้นด้วย Question Words เป็น Indirect Speech
1. เปลี่ยน Said เป็น asked
2. เรียงคำในประโยคหลังคำแสดงคำถามให้เป็นประโยคบอกเล่า
3. การเปลี่ยนแปลง Tense ถือตามหลักที่กล่าวมาของ Statement
ตัวอย่าง
Direct Speech: He said to me, "What is your name?
Indirect Speech: He asked me what my name was.
Direct Speech: He said to me, "What is your name?
Indirect Speech: He asked me what my name was.
Direct Speech:"Where are you going?" he said to her.
Indirect Speech: He asked her where she was going.
Indirect Speech: He asked her where she was going.
การเปลี่ยนประโยคคำถามที่ขึ้นต้นด้วยกริยาพิเศษ
(Special Finites) เป็น Indirect Speech
1.หลักการทั่วไปเหมือน ซึ่งต้องตอบ Yes หรือ No
2.ใช้คำเชื่อม If , Whether (ใช้คำไหนก็ได้)
ในความหมายว่า "ว่า..หรือไม่"
(Special Finites) เป็น Indirect Speech
1.หลักการทั่วไปเหมือน ซึ่งต้องตอบ Yes หรือ No
2.ใช้คำเชื่อม If , Whether (ใช้คำไหนก็ได้)
ในความหมายว่า "ว่า..หรือไม่"
ตัวอย่าง
Direct Speech: "Can your sister speak English ?" he said to me.
“น้องสาวคุณพูดภาษาอังกฤษได้หรือ” เขาพุดก้บฉัน
Indirect Speech: He asked me if my sister could speak English.
เขาถามฉันว่าน้องสาวของฉันพูดภาษาอังกฤษได้หรือไม่
หรือ He asked me whether my sister could speak English.
การใช้ If หรือ Whether เป็นคำเชื่อมนี้จะใช้ or not ตามหลังก็ได้
ตัวอย่าง
Indirect Speech: He asked me if she lived there. หรือ He asked me if she lived there or not.
- He asked me whether she lived there or not.
- He asked me whether or not she lived there.
Direct Speech: "Can your sister speak English ?" he said to me.
“น้องสาวคุณพูดภาษาอังกฤษได้หรือ” เขาพุดก้บฉัน
Indirect Speech: He asked me if my sister could speak English.
เขาถามฉันว่าน้องสาวของฉันพูดภาษาอังกฤษได้หรือไม่
หรือ He asked me whether my sister could speak English.
การใช้ If หรือ Whether เป็นคำเชื่อมนี้จะใช้ or not ตามหลังก็ได้
ตัวอย่าง
Indirect Speech: He asked me if she lived there. หรือ He asked me if she lived there or not.
- He asked me whether she lived there or not.
- He asked me whether or not she lived there.